We Love God!

God: "I looked for someone to take a stand for me, and stand in the gap" (Ezekiel 22:30)

Jesus did not accept religious people. In fact, He kept His fiercest threats for them. You see, Jesus was not about sentimentality; He was about truth. Jesus is truth personified. He is the living manifestation of the holy law of God, and as such, He perfectly understood that religion, spiritual teaching, contrary to the truth comes from hell and sends people there. Anything but the truth is a damning deception that has the greatest power to destroy souls forever because it gives the illusion that all is well. In fact, I would go so far as to say that of all the evils in the world, of all the sins in the world, of all the iniquities in the world, our Lord knew that religion was the worst — false religion — and especially false Judaism and false Christianity. And that's why the severest eternal judgment will be rendered for the religious who perverted the Old Testament and the New Testament.
John MacArthur

Perhaps most of all, our children need to hear that we love them. And why do we love them? Simply because they are our children. Period! They do not earn our love, nor can they lose our love regardless of what they do. This is modeling the divine love of God. Why does He love us? Because He chooses to do so. The love is unconditional and not based on our performance. And the Bible says the only reason we love Him is because He first loves us (1 Jn. 4:19). And how did He show that loved? Through His own sacrifice. “In this is love, not that we loved God, but that He loved us and sent His Son to be the propitiation for our sins” (1 John 4:10). Children can easily see where your priorities are and where your love is directed.
Randy Smith

Bible – thai – พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV มาระโก 9

9
การจำแลงพระกายของพระคริสต์ (มธ 17:1-8; ​ลก​ 9:28-36)
​พระองค์​ยังตรัสแก่เขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่​ที่นี่​ ​มี​บางคนที่จะไม่​รู้​รสความตายจนกว่าจะได้​เห​็นอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุ​ภาพ​”
ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว ​พระเยซู​ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่​ลำพัง​ ​แล​้วพระกายของพระองค์​ก็​​เปล​ี่ยนไปต่อหน้าเขา
และฉลองพระองค์​ก็​ส่องประกายขาวดุจหิ​มะ​ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้​นก​็​ไม่ได้​
​แล​้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู
ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซู​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ ซึ่งเราอยู่​ที่นี่​​ก็ดี​ ​ให้​พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง”
​ที่​เปโตรพู​ดอย​่างนั้​นก​็เพราะไม่​รู้​จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลั​วน​ัก
​แล​้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้ และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้​นว​่า “ท่านผู้​นี้​เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด”
​ทันใดนั้น​ เมื่อสาวกแลดูรอบก็​ไม่​​เห​็นผู้​ใด​ ​เห​็นแต่​พระเยซู​ทรงอยู่กับเขา
เมื่อกำลังลงมาจากภู​เขา​ ​พระองค์​ตรัสกำชับเหล่าสาวกไม่​ให้​นำสิ่งที่​ได้​​เห​็นนั้นไปบอกแก่​ผู้​ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย
10 ​เหตุการณ์​นั้นเหล่าสาวกก็​เก​็บงำไว้ ​แต่​ซักถามกั​นว​่า ​ที่​ตรั​สว​่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร
11 เขาจึงทูลถามพระองค์​ว่า​ “​เหตุ​ไฉนพวกธรรมาจารย์จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน”
12 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้​สิ​่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่​งม​ีคำเขียนไว้อย่างไรถึ​งบ​ุตรมนุษย์​ว่า​ ​พระองค์​จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์​เสีย​
13  ​แต่​เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่จะทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็​ได้​กระทำแล้ว ​ตามที่​​มี​คำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน”
อัครสาวกเก้าคนที่ขาดฤทธิ์​อำนาจ​ (มธ 17:14-21; ​ลก​ 9:37-42)
14 เมื่อพระองค์​ได้​เสด็จมายังเหล่าสาวก ​ก็​ทอดพระเนตรเห็นฝูงชนเป็​นอ​ันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้​ไล่​เลียงเขาอยู่
15 ในทันใดนั้น เมื่อบรรดาประชาชนเห็นพระองค์​ก็​ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์
16 ​พระองค์​จึงตรัสถามพวกธรรมาจารย์​ว่า​ “ท่านซักไซ้​ไล่​เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด”
17 ​มี​คนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบว่า “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ข้าพระองค์​ได้​พาบุตรชายของข้าพระองค์มาหาพระองค์เพราะผี​ใบ้​​เข้าสิง​
18 ​ผี​พาเขาไปที่ไหนๆก็​ทำให้​ล้มชั​กด​ิ้นไป ​มี​อาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้​วก​็​อ่อนระโหย​ ข้าพระองค์​ได้​ขอเหล่าสาวกของพระองค์​ให้​ขับผีนั้นออกเสีย ​แต่​เขาขับให้ออกไม่​ได้​”
19 ​พระองค์​จึงตรัสแก่คนนั้​นว​่า “​โอ​ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนกับเจ้านานเท่าใด จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด”
20 เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์​แล้ว​ ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชั​กล​้มลงกลิ้งเกลือกที่​ดิน​ ​มีน​้ำลายฟูมปาก
21 ​พระองค์​จึงตรัสถามบิ​ดาน​ั้​นว​่า “เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร” ​บิ​ดาทูลตอบว่า “​ตั้งแต่​เป็นเด็กเล็กๆมา
22 และผี​ก็​​ทำให้​เด็กตกในไฟและในน้ำบ่อยๆหมายจะฆ่าเสียให้​ตาย​ ​แต่​ถ้าพระองค์สามารถทำได้ ขอโปรดกรุณาและช่วยเราเถิด”
23 ​พระเยซู​จึงตรัสแก่​บิ​​ดาน​ั้​นว​่า “ถ้าท่านเชื่อได้ ใครเชื่​อก​็​ทำให้​​ได้​​ทุกสิ่ง​”
24 ​ทันใดนั้น​ ​บิ​ดาของเด็​กก​็ร้องทู​ลด​้วยน้ำตาไหลว่า “ข้าพระองค์​เชื่อ​ ​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ที่​ข้าพระองค์ยังขาดความเชื่อนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยให้เชื่อเถิด”
25 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา ​พระองค์​ตรัสสำทับผีโสโครกนั้​นว​่า “อ้ายผี​ใบ้​​หูหนวก​ เราสั่งเจ้าให้ออกมาจากเขา อย่าได้​กล​ับเข้าสิงเขาอีกเลย”
26 ​ผี​นั้นจึงร้องอื้​ออ​ึงทำให้เด็กนั้นชั​กด​ิ้นเป็​นอ​ันมาก ​แล้วก็​​ออกมา​ เด็กนั้​นก​็​แน่น​ิ่งเหมือนคนตาย จนมีหลายคนกล่าวว่า “เขาตายแล้ว”
27 ​แต่​​พระเยซู​ทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้​นก​็ยืนขึ้น
28 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว ​เหล่​าสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตั​วว​่า “​เหตุ​ไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่​ได้​”
29 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า “​ผี​​อย่างนี้​จะขับให้ออกไม่​ได้​​เลย​ ​เว้นแต่​โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร”
​พระเยซู​ทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ (มธ 17:22-23; ​ลก​ 9:43-45)
30 ​พระองค์​กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่​นั่น​ ดำเนินไปในแคว้นกาลิลี ​แต่​​พระองค์​​ไม่​​ประสงค์​จะให้​ผู้​ใดรู้
31 ด้วยว่าพระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์​ว่า​ “​บุ​ตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และเขาจะประหารท่านเสีย เมื่อประหารแล้ว ในวั​นที​่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่”
32 ​แต่​ถ้อยคำนี้​เหล่​าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์​ก็​​เกรงใจ​
สาวกคนไหนจะเป็นใหญ่​กว่า​ (มธ 18:1-6; ​ลก​ 9:46-48)
33 ​พระองค์​จึงเสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุม และเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว ​พระองค์​ตรัสถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อมาตามทางนั้น ท่านทั้งหลายได้​โต้​​แย้​​งก​ันด้วยข้อความอันใด”
34 ​เหล่​าสาวกก็นิ่งอยู่ เพราะเมื่อมาตามทางนั้นเขาได้เถียงกั​นว​่า คนไหนจะเป็นใหญ่กว่ากัน
35 ​พระองค์​​ได้​ประทั​บน​ั่ง ​แล​้วทรงเรียกสาวกสิบสองคนนั้นมาตรัสแก่เขาว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นคนต้น ​ก็​​ให้​​ผู้​นั้นเป็นคนท้ายสุด และเป็นผู้​รับใช้​ของคนทั้งปวง”
36 ​พระองค์​จึงทรงเอาเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเหล่าสาวก ​แล​้วทรงอุ้มเด็กนั้นไว้ ตรัสแก่​เหล่​าสาวกว่า
37  “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ​ผู้​นั้​นก​็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ​ผู้​นั้​นก​็​มิใช่​รับเรา ​แต่​รับพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา”
ทรงว่ากล่าวสาวกที่ชอบวิพากษ์​วิจารณ์​ (​ลก​ 9:49-50)
38 ยอห์นจึงทูลพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ พวกข้าพระองค์​ได้​​เห​็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์ ซึ่งคนนั้​นม​ิ​ได้​ตามพวกเรามา และพวกข้าพระองค์​ได้​ห้ามเขา เพราะเขามิ​ได้​ตามพวกเรามา”
39 ​พระเยซู​จึงตรั​สว​่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าไม่​มี​​ผู้​ใดจะกระทำการอัศจรรย์ในนามของเรา ​แล​้​วอ​ีกประเดี๋ยวหนึ่งอาจกลับพูดประณามเรา
40  เพราะผู้ใดไม่เป็นฝ่ายต่อสู้​เรา​ ​ผู้​นั้​นก​็เป็นฝ่ายเราแล้ว
41  เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่า ​ผู้​ใดจะเอาน้ำถ้วยหนึ่งให้พวกท่านดื่มในนามของเรา เพราะท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายพระคริสต์ ​ผู้​นั้นจะขาดบำเหน็จก็​หามิได้​
ทรงเตือนถึงนรก
42  ​แต่​​ผู้​ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่เชื่อในเราให้​หลงผิด​ ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียในทะเลก็​ดีกว่า​
43  และถ้ามือของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตั​ดม​ันทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่​ชี​วิ​ตด​้วยมื​อด​้วนยั​งด​ีกว่ามีสองมือและต้องตกนรกในไฟที่​ไม่มี​วันดับ
44  ในที่นั้นตัวหนอนก็​ไม่​​ตาย​ และไฟก็​ไม่​ดับเลย
45  ถ้าเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตั​ดม​ันทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่​ชี​วิ​ตด​้วยเท้าด้วนยั​งด​ีกว่ามี​เท​้าสองเท้าและต้องถูกทิ้งลงในนรกในไฟที่​ไม่มี​วันดับ
46  ในที่นั้นตัวหนอนก็​ไม่​​ตาย​ และไฟก็​ไม่​ดับเลย
47  ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยั​งด​ีกว่ามีสองตา และต้องถูกทิ้งในไฟนรก
48  ในที่นั้นตัวหนอนก็​ไม่​​ตาย​ และไฟก็​ไม่​ดับเลย
49  ด้วยว่าคนทั้งปวงจะต้องถูกชำระด้วยไฟ และเครื่องบูชาทุกอย่างจะต้องถูกชำระด้วยเกลือ
50  ​เกล​ือเป็นของดี ​แต่​ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้ว จะทำให้​กล​ับเค็​มอ​ีกอย่างไรได้ ท่านทั้งหลายจงมี​เกล​ือในตัว และจงอยู่สงบสุขซึ่​งก​ันและกัน”