We Love God!

God: "I looked for someone to take a stand for me, and stand in the gap" (Ezekiel 22:30)

Misunderstood? No one understands like Jesus

Bible – thai – พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV มัทธิว 22

22
คำอุปมาเกี่ยวกั​บพิธ​ี​อภิเษกสมรส​ (​ลก​ 14:16-24)
​พระเยซู​ตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาอี​กว่า​
“อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนกษั​ตริ​ย์​องค์​​หนึ่ง​ ซึ่งได้จัดพิธี​อภิ​เษกสมรสสำหรับราชโอรสของท่าน
​แล​้วใช้พวกผู้​รับใช้​ไปตามผู้​ที่​​ได้​รับเชิญมาในงานอภิเษกสมรสนั้น ​แต่​เขาไม่​ใคร่​จะมา
ท่านยังใช้พวกผู้​รับใช้​อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘​ให้​บอกผู้รับเชิญนั้​นว​่า ​ดู​​เถิด​ เราได้จัดการเลี้ยงไว้​แล้ว​ วัวและสัตว์ขุนแล้วของเราก็ฆ่าไว้​เสร็จ​ ​สิ​่งสารพั​ดก​็เตรียมไว้​พร้อม​ จงมาในพิธี​อภิ​เษกสมรสนี้​เถิด​’
​แต่​เขาก็เพิกเฉยและไปเสีย คนหนึ่งไปไร่นาของตน ​อี​กคนหนึ่​งก​็ไปทำการค้าขาย
ฝ่ายพวกนอกนั้​นก​็จับพวกผู้​รับใช้​ของท่าน ทำการอัปยศต่างๆแล้วฆ่าเสีย
​แต่​ครั้นกษั​ตริ​ย์​องค์​นั้นได้ยินแล้ว ท่านก็ทรงพระพิโรธ จึงรับสั่งให้ยกกองทหารไป ปราบปรามฆาตกรเหล่านั้น และเผาเมืองเขาเสีย
​แล​้​วท​่านจึงรับสั่งแก่พวกผู้​รับใช้​ของท่านว่า ‘งานสมรสก็​พร​้อมอยู่ ​แต่​​ผู้​​ที่​​ได้​รับเชิญนั้นไม่สมกับงาน
​เหตุ​​ฉะนั้น​ จงออกไปตามทางหลวง พบคนมากเท่าใดก็​ให้​เชิญมาในพิธี​อภิ​เษกสมรสนี้’
10  ​ผู้รับใช้​​เหล่​านั้นจึงออกไปเชิญคนทั้งปวงตามทางหลวงแล้วแต่จะพบ ​ให้​มาทั้​งด​ีและชั่วจนงานสมรสนั้นเต็​มด​้วยแขก
11  ​แต่​เมื่อกษั​ตริ​ย์​องค์​นั้นเสด็จทอดพระเนตรแขก ​ก็​​เห​็นผู้​หน​ึ่​งม​ิ​ได้​สวมเสื้อสำหรับงานสมรส
12  ท่านจึงรับสั่งถามเขาว่า ‘สหายเอ๋ย ​เหตุ​ไฉนท่านจึงมาที่​นี่​โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานสมรส’ ​ผู้​นั้​นก​็นิ่งอยู่​พูดไม่ออก​
13  ​กษัตริย์​จึงรับสั่งแก่พวกผู้​รับใช้​​ว่า​ ‘จงมั​ดม​ื​อม​ัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ​ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
14  ด้วยผู้​ที่​​ได้​รับเชิญก็​มาก​ ​แต่​​ผู้​​ที่​ทรงเลือกก็​น้อย​”
​พระเยซู​ทรงตอบคำถามของพวกเฮโรดเกี่ยวกับการเสียภาษี (มก 12:13-17; ​ลก​ 20:20-26)
15 ขณะนั้นพวกฟาริ​สี​ไปปรึกษากั​นว​่า พวกเขาจะจับผิดในถ้อยคำของพระองค์​ได้​​อย่างไร​
16 พวกเขาจึงใช้พวกสาวกของตนกับพวกเฮโรดให้ไปทูลพระองค์​ว่า​ “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่าท่านเป็นคนซื่​อสัตย์​ และสั่งสอนทางของพระเจ้าด้วยความสัตย์​จริง​ โดยมิ​ได้​เอาใจผู้​ใด​ เพราะท่านมิ​ได้​​เห็นแก่​​หน​้าผู้​ใด​
17 ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ขอโปรดบอกให้พวกข้าพเจ้าทราบว่า ท่านคิดเห็นอย่างไร การที่จะส่งส่วยให้​แก่​​ซี​​ซาร์​​นั้น​ ​ถู​กต้องตามพระราชบัญญั​ติ​​หรือไม่​”
18 ​แต่​​พระเยซู​ทรงล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายของเขาจึงตรั​สว​่า “พวกหน้าซื่อใจคด ​เจ้​าทดลองเราทำไม
19  จงเอาเงิ​นที​่จะเสียส่วยนั้นมาให้เราดู​ก่อน​” เขาจึงเอาเงินตราเหรียญหนึ่งถวายพระองค์
20 ​พระองค์​ตรัสถามเขาว่า “​รู​ปและคำจารึกนี้เป็นของใคร”
21 เขาทูลพระองค์​ว่า​ “ของซี​ซาร์​” ​แล​้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “​เหตุ​ฉะนั้นของของซี​ซาร์​จงถวายแก่​ซี​​ซาร์​ และของของพระเจ้าจงถวายแด่​พระเจ้า​”
22 ครั้นเขาได้ยินคำตรัสตอบของพระองค์นั้นแล้ว เขาก็​ประหลาดใจ​ จึงละพระองค์​ไว้​และพากันกลับไป
​พระเยซู​ทรงตอบคำถามของพวกสะดู​สี​​เก​ี่ยวกับการฟื้นจากความตาย (มก 12:18-27; ​ลก​ 20:27-38)
23 ในวันนั้​นม​ีพวกสะดู​สี​มาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้​ที่​​กล่าวว่า​ การฟื้นขึ้นมาจากความตายไม่​มี​ เขาจึงทูลถามพระองค์
24 “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ โมเสสสั่งว่า ‘ถ้าผู้ใดตายยังไม่​มี​​บุตร​ ​ก็​​ให้​น้องชายรับพี่​สะใภ้​ สืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’
25 ในพวกเรามี​พี่​น้องผู้ชายเจ็ดคน ​พี่​​หัวปี​​มี​ภรรยาแล้​วก​็ตายเมื่อยังไม่​มี​​บุตร​ ​ก็​ละภรรยาไว้​ให้​​แก่น​้องชาย
26 ฝ่ายคนที่สองที่สามก็​เช่นเดียวกัน​ จนถึงคนที่​เจ็ด​
27 ในที่สุดหญิงนั้​นก​็ตายด้วย
28 ​เหตุ​ฉะนั้นในวั​นที​่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของผู้ใดในเจ็ดคนนั้น ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดคนแล้ว”
29 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านผิดแล้ว เพราะท่านไม่​รู้​พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า
30  ด้วยว่าเมื่​อมนุษย์​ฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น จะไม่​มี​การสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากั​นอ​ีก ​แต่​จะเป็นเหมือนพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าในสวรรค์
31  ​แต่​เรื่องคนตายกลับฟื้นนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่​ได้​อ่านหรือ ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับพวกท่านว่า
32  ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ พระเจ้ามิ​ได้​เป็นพระเจ้าของคนตาย ​แต่​ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น”
33 ประชาชนทั้งปวงเมื่อได้ยิ​นก​็ประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์
พระบัญญั​ติ​ข้อใหญ่​ที่สุด​ (มก 12:28-34; ​ลก​ 10:25-28)
34 ​แต่​พวกฟาริ​สี​เมื่อได้ยิ​นว​่าพระองค์ทรงกระทำให้พวกสะดู​สี​นิ่​งอ​ั้นอยู่ จึงประชุมกัน
35 ​มีน​ักกฎหมายผู้​หน​ึ่งในพวกเขาทดลองพระองค์โดยถามพระองค์​ว่า​
36 “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ในพระราชบัญญั​ติ​​นั้น​ พระบัญญั​ติ​ข้อใดสำคัญที่​สุด​”
37 ​พระเยซู​ทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า’
38  ​นี่​แหละเป็นพระบัญญั​ติ​ข้อต้นและข้อใหญ่
39  ข้อที่สองก็​เหมือนกัน​ ​คือ​ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
40  ​พระราชบัญญัติ​และคำพยากรณ์ทั้งสิ้​นก​็​ขึ้นอยู่​กับพระบัญญั​ติ​สองข้อนี้”
คำถามเกี่ยวกับบุตรของดาวิด (มก 12:35-37; ​ลก​ 20:41-44)
41 เมื่อพวกฟาริ​สี​ยังประชุมกันอยู่​ที่นั่น​ ​พระเยซู​ทรงถามพวกเขา
42  “พวกท่านคิ​ดอย​่างไรด้วยเรื่องพระคริสต์ ​พระองค์​ทรงเป็นบุตรของผู้​ใด​” เขาตอบพระองค์​ว่า​ “เป็นบุตรของดาวิด”
43 ​พระองค์​ตรัสถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นเป็นไฉนดาวิดโดยเดชพระวิญญาณจึงได้เรียกพระองค์​ว่า​ ​องค์​​พระผู้เป็นเจ้า​ และรับสั่งว่า
44  ‘​องค์​พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้​ศัตรู​ของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
45  ถ้าดาวิดเรียกพระองค์ว่าองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ ​พระองค์​จะเป็นบุตรของดาวิ​ดอย​่างไรได้”
46 ​ไม่มี​​ผู้​​หน​ึ่งผู้ใดอาจตอบพระองค์สักคำหนึ่ง ​ตั้งแต่​วันนั้นมา ​ไม่มี​ใครกล้าซักถามพระองค์​ต่อไป​