We Love God!

God: "I looked for someone to take a stand for me, and stand in the gap" (Ezekiel 22:30)

The problem with (an altar call for rededication) is that it is not biblical. The crux of the gospel message is not a call to rededication, but a call to repentance. John the Baptist preached repentance (Matt. 3:2). Jesus preached repentance, both in His earthly ministry and as the resurrected Lord (Matt. 4:17; Rev. 3:19). If one's previous commitment did not keep him walking in obedience, a re-commitment is no more likely to make him faithful. The proper response to disobedience is not a commitment to try harder, but brokenness and repentance for rejecting the will of Almighty God. God looks for surrender to His will, not commitment to carry it out. Rather than asking church members to repeatedly promise to try harder, churches must call their people to repent before Holy God.
Richard Blackaby

Preaching is a spiritual event that is intended to grip your heart and shake you loose from your comfort. It is designed to take you where you haven’t gone in terms of your thinking and understanding of the Word of God. It is intended to create a spiritual response that very moment and to deposit seeds that will shape, over a long period of time, a fixed set of convictions in the fabric of your life.
John MacArthur

Bible – thai – พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV 1 โครินธ์ 2

2
การเทศนาเป็นมาโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์
​พี่​น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้ามิ​ได้​มาเพื่อประกาศสักขีพยานของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำอันไพเราะหรื​อด​้วยสติ​ปัญญา​
เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆในหมู่พวกท่านเลยเว้นแต่เรื่องพระเยซู​คริสต์​ และการที่​พระองค์​ทรงถูกตรึงที่​กางเขน​
และเมื่อข้าพเจ้าอยู่กั​บท​่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็​อ่อนกำลัง​ ​มี​ความกลัวและตัวสั่นเป็​นอ​ันมาก
คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้า ​ไม่ใช่​คำที่​เกล​ี้ยกล่อมด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ​แต่​เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุ​ภาพ​
เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่​ได้​อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ ​แต่​อาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เรากล่าวถึงเรื่องปัญญาในหมู่​คนที​่​เป็นผู้ใหญ่​​แล้วก็​​จริง​ ​แต่​​มิใช่​เรื่องปัญญาของโลกนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจครอบครองในโลกนี้ซึ่งจะเสื่อมสูญไป
​แต่​เรากล่าวถึงเรื่องพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นข้อลึ​กลับ​ คือพระปัญญาซึ่งทรงซ่อนไว้​นั้น​ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนสร้างโลกให้เป็นสง่าราศี​แก่​​เรา​
​ไม่มี​อำนาจครอบครองใดๆในโลกนี้​ได้​​รู้​จักพระปัญญานั้น เพราะว่าถ้ารู้​แล​้วจะมิ​ได้​เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสง่าราศีตรึงไว้​ที่​​กางเขน​
พระดำรัสของพระเจ้ามาจากพระองค์​โดยตรง​
​ดังที่​​มี​​เข​ียนไว้​แล​้​วว​่า ‘​สิ​่งที่ตาไม่​เห็น​ ​หู​​ไม่ได้​​ยิน​ และไม่เคยได้​เข​้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์’
10 พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณของพระองค์ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้​ทุกสิ่ง​ ​แม้​เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า
11 อันความคิดของมนุษย์นั้นไม่​มี​​ผู้​ใดหยั่งรู้​ได้​ ​เว้นแต่​​จิ​ตวิญญาณของมนุษย์​ผู้​นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็​ไม่มี​ใครหยั่งรู้​ได้​ ​เว้นแต่​พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น
12 เราทั้งหลายจึงไม่​ได้​รับวิญญาณของโลก ​แต่​​ได้​รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้​รู้​ถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่​เรา​
13 คือสิ่งเหล่านั้​นที​่เราได้​กล​่าวด้วยถ้อยคำซึ่​งม​ิ​ใช่​ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ ​แต่​ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์​ได้​ทรงสั่งสอน ซึ่งเปรียบเทียบสิ่งที่​อยู่​ฝ่ายจิตวิญญาณกับสิ่งซึ่งเป็นของจิตวิญญาณ
14 ​แต่​​มนุษย์​ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่​ได้​ เพราะเขาเห็​นว​่าเป็นสิ่งโง่​เขลา​ และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้​ก็​ต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ
15 ​แต่​​มนุษย์​ฝ่ายจิตวิญญาณสังเกตสิ่งสารพัดได้ ​แต่​​ไม่มี​​ผู้​ใดจะรู้จักใจคนนั้นได้
16 ​เพราะว่า​ ‘ใครเล่ารู้จักพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์​ได้​’ ​แต่​เราก็​มี​พระทัยของพระคริสต์